Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
โรคอัลไซเมอร์ สาเหตุ อาการ การป้องกันและการดูแล
โรคอัลไซเมอร์ หรือภาวะสมองเสื่อม เกิดได้หลายสาเหตุ มีปัญหาด้านความจำเป็นอาการหลัก จะไม่สามารถจดจำและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อปัญหาด้านความจำที่เกิดขึ้นหรืออาการหลงลืมนั้น ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการจัดการชีวิตประจำวัน เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมเพื่อช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์มีชีวิตที่ดีและมีความสุข
โรคอัลไซเมอร์ Alzheimer
โรคอัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะสมองเสื่อม และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด โดยความชุกของโรคจะเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ พบความชุกร้อยละ 10-15 ในประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปี และพบร้อยละ 20-30 ในประชากรที่อายุมากว่า 80 ปีภาวะสมองเสื่อม เป็นภาวะที่สมรรถภาพการทำงานของสมองถดถอยบกพร่องในด้านการรู้คิด ได้แก่ ความจำ การตัดสินใจ การวางแผน และบริหารจัดการ การรับรู้รูปทรง และการกะระยะ การใช้ภาษา สมาธิ หรือ ความใส่ใจ ความสามารถในการรับรู้เกี่ยวกับสังคมรอบตัว โดยมีผลกระทบต่อความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันและการเข้าสังคม แต่ต้องไม่มีภาวะเพ้อ โรคซึมเศร้า โรคทางจิตเวชเรื้อรัง หรือ วิตกกังวลรุนแรงขณะวินิจฉัย ซึ่งการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมอาศัยข้อมูลจากประวัติทั้งจากผู้ป่วยและญาติที่อยู่ใกล้ชิดรู้จักผู้ป่วยเป็นอย่างดี การตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจร่างกายทางระบบประสาท การตรวจทางห้องปฏิบัติการ รวมไปถึงการตรวจทางประสาทจิตวิทยาสมองเสื่อมเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสาเหตุที่แก้ไขได้และแก้ไขไม่ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน เนื้องอกสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว โรคขาดฮาร์โมนต่อมไทรอยด์ โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น ชิฟิลิสและเอดส์ เป็นต้น ปัจจุบันพบโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุและอาการของโรคอัลไซเมอร์
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสมองจนบางส่วนของสมองทำหน้าที่ลดลง เกิดการฝ่อ ทำให้กระทบกับการทำงานของสมองส่วนนั้น และแสดงอาการต่างๆ ออกมา เช่น หลงลืม ถามซ้ำๆ ฯลฯ อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของโรคอัลไซเมอร์ มีการศึกษาพบว่าในสมองของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มีการสะสมของโปรตีนบางชนิด เช่น อะไมลอยด์ (amyloid) และ ทาว (tau) มากกว่าปกติ
ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะมีปัญหาด้านความจำเป็นอาการหลัก ผู้ป่วยจะไม่สามารถจดจำ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ จึงมักจะลืมว่าวางของไว้ที่ไหนทั้งที่พยายามจำ ถามซ้ำๆ พูดซ้ำๆ เป็นต้น เมื่อโรคดำเนินไปจะทำให้เกิดความบกพร่องของการรู้คิดด้านอื่นร่วมด้วย เช่น หลงทาง คิดเลขไม่ได้ ไม่สามารถจัดการกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐานได้เอง มีปัญหาด้านอารมณ์ ปัญหาพฤติกรรม และความผิดปกติทางจิตตามมา เช่น หงุดหงิด เฉื่อยชาและเฉยเมย ขาดการยับยั้งชั่งใจ มีอาการหลงผิด ประสาทหลอน เป็นต้น
เมื่อปัญหาด้านความจำที่เกิดขึ้นหรืออาการหลงลืมนั้น ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการจัดการชีวิตประจำวัน เช่น ทำได้ช้าลง ทำผิดบ่อยขึ้น หรืออาการหลงลืมนั้นส่งผลให้เกิดปัญหาในการจัดการชีวิตประจำวันด้วยตนเอง เช่น ต้องการผู้ช่วยเหลือในการจ่ายเงิน ต้องการผู้ช่วยเหลือในการบริหารยาที่ทานประจำ เป็นต้น
ปัจจัยเสื่องของการเกิดโรคอัลไซเมอร์
- อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด โดยพบว่าหลังอายุ 65 ปี ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเพิ่มเป็น 2 เท่าในทุกๆ 5 ปีที่อายุมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปีด้วยเช่นกัน
- พันธุกรรม เช่น มีญาติสายตรงในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคนี้หลายคน , มียีนบางอย่างเช่น ApoE4 เป็นต้น
- โรคดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome) ผู้ป่วยถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค เนื่องจากพบว่าผู้ป่วยโรคนี้มีความผิดปกติของการสะสมของโปรตีนบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์เช่นกัน
- การได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ มีรายงานการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายรายงานพบว่า ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมจากสาเหตุอื่นๆ มีประวัติเคยได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะมากกว่าคนที่ไม่มีสมองเสื่อม อย่างไรก็ตามในบางการศึกษาไม่พบว่าการได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะมาก่อนเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อม
- พบว่าโรคอัลไซเมอร์มีส่วนที่เกิดจากโรคของหลอดเลือด รวมถึงพบร่วมกับโรคหลอดเลือดในสมองได้บ่อย ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองจึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ด้วย ดังนี้
- น้ำหนักเกินมาตรฐาน
- การขาดการออกกำลังกาย
- การสูบบุหรี่
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
การป้องกันโรคอัลไซเมอร์
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ การป้องกันโรคจึงเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคดังนี้
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลสูง
- รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน
- ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุต่อสมอง การพลัดตกหกล้ม
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจติดตามโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เป็นระยะๆ หากมีอาการเจ็บป่วยควรไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ
นอกจากนี้ การฝึกฝนสมอง เช่น คิดเลข อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ ฝึกการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ การพบปะพูดคุยกับผู้อื่นบ่อยๆ การมีความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยง เข้าชมรมผู้สูงอายุ ฯลฯ นอกจากนี้อาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ยังช่วยให้ผู้สูงวัยคุณภาพชีวิตที่มีและมีความสุขอีกด้วย
การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานการรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาด จึงมุ่งเน้นการดูแลรักษาเพื่อช่วยลดความพกพร่องทางการรู้คิด และสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถประกอบกิจวัตรประจำวันและเข้าสังคมได้มากที่สุด โดยแบ่งเป็น
- การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-Pharmacological Management)
การรักษาด้วยวิธีนี้มีอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับภาวะความรุนแรงของโรคและขีดความสามารถในการเรียนรู้ของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสมตามระยะของโรค ดังนี้
1.1 การดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวันและการฝึกทักษะการเข้าสังคม
- ให้ผู้ป่วยได้ร่วมดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวันของตนเองโดยมีผู้ดูแลคอยสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือตามขีดความสามารถของผู้ป่วย
- สนับสนุนให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่มีส่วนร่วมในสังคมครอบครัวและสังคมภายนอกตามความเหมาะสม
1.2 การดูแลปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
- ลดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง เช่น เสียงรบกวน รวมถึงการปรับสภาพที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัยง่ายต่อการใช้งาน เช่น ให้พื้นเรียบ ไม่มีของเกะกะทางเดินและแสงสว่างเพียงพอ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ
1.3 การให้ความรู้กับผู้ดูแลผู้ป่วย
- เนื่องจากผู้ป่วยจะเข้าสู่สภาวะที่ต้องพึ่งพา ผู้ดูแลเป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่ต้องเข้าใจการดำเนินของโรค และความรู้เกี่ยวการดูแลผู้ป่วยในแต่ละระยะของโรค รวมไปถึงสนับสนุนการดูแลตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วย
1.4 การฟื้นฟูผู้ป่วยสมองเสื่อมด้านกายภาพ
- เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสื่อมอาจมีขีดความสามารถในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ลดลง การปรับอุปกรณ์ให้ง่ายต่อการใช้งานหรือปรับกิจกรรมให้เรียบง่ายและปลอดภัย รวมไปถึงการฝึกการกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสโดยการบีบ จัด นวด การกระตุ้นกิจกรรมการเคลื่อนไหวจะทำให้ผู้ป่วยได้ฝึกสมรรถภาพทางกายภาพได้ดียิ่งขึ้น
1.5 การดูแลด้านพฤติกรรมและจิตบำบัด
- ปัญหาเรื่องพฤติกรรมและอารมณ์เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย อาจต้องใช้การรักษาควบคู่ทั้งการรักษาด้วยยาและพฤติกรรมและจิตบำบัด อาจใช้การให้ความรู้แก่ผู้ดูแลเพื่อให้เข้าใจผู้ป่วยและมีวิธีการดูแลได้อย่างเหมาะสม เช่น การเบี่ยงเบนความสนในผู้ป่วยออกจากเรื่องที่กำลังหงุดหงิดหรือโมโห การเสริมสร้างด้านอารมณ์ด้วยดนตรีบำบัด เป็นต้น
- การรักษาด้วยยา (Pharmacological Management)
ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่ามียาที่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาดได้ แต่อาจมียาบางกลุ่มที่สามารถใช้รักษาบรรเทาอาการ และการรักษาประคับประคอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
2.1 ยาที่ใช้รักษาตามอาการด้านการรู้คิด
- ได้แก่ยากลุ่มที่ยับยั้งสารที่ทำลายสารสื่อประสาทในสมอง (acetylcholine esterase inhibitor) ทำให้มีสารสื่อประสาทเพิ่มขึ้น เช่น ยา donepezil, galantamine, rivastigmine เป็นต้น สามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงรุนแรง
- นอกจากนี้ยังมียากลุ่ม NMDA receptor antagonist เช่น memantine ทำให้ glutamate ไม่สามารถจับกับ receptor ได้ทำให้ลดการเกิดพิษต่อเซลล์ประสาท ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
2.2 ยาที่ใช้รักษาปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ และความผิดปกติทางจิต
- ปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ และความผิดปกติทางจิตเกิดได้บ่อยในผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึ่งอาจต้องใช้ยาตามอาการทางจิตร่วมรักษา เช่น ยาต้านเศร้า ยาลดอาการหลงผิดประสาทหลอนและอาการกระวนกระวาย ยาคลายกังวลหรือยานอนหลับ โดยแพทย์อาจจะปรับยาตามอาการเพื่อให้สมดุลโดยพิจารณาถึงประโยชน์และผลข้างเคียงของการใช้ยา
อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคอัลไซเมอร์จำเป็นต้องดูแลอย่างเป็นองค์รวมประกอบด้วยการดูแลรักษาในด้านกายภาพ ด้านจิตใจและพฤติกรรม ด้านการเข้าสังคม รวมไปถึงการให้ความรู้และสนับสนุนญาติผู้ดูแลผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- เครียดลงกระเพาะ โรคที่สามารถป้องกันการเกิดขึ้นได้
- ต้อหิน เป็นแล้วไม่รักษาอาจสูญเสียการมองเห็นได้
- อาการวูบหมดสติ ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ควรหมั่นตรวจสุขภาพ
- โลหิตจาง มีอาการอย่างไร
ที่มาของบทความ
- https://www.chulabhornhospital.com
- https://www.istockphoto.com/476862386
- https://www.istockphoto.com/104737787
ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ garrisonsatlanta.com
สนับสนุนโดย ufabet369
Economy
-
ความอยากอาหารสำหรับบาร์โปรตีนทำให้เคี้ยวได้มากมาย
ตั้งแต่สแน็กบาร์ไปจนถึงเชค เบเกิล กาแฟ และแม้แต่น้ำดื่มบรรจุขวด ผู้ผลิตอาหารกำลังเพิ่มโปรตีนให้กับรายการผลิตภัณฑ์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีน
นี้มีมูลค่าหลายพันล้าน แต่มันจะเป็นไปตามโฆษณาหรือไม่? และอะไรคือผลกระทบด้านสุขภาพของโปรตีนเสริมทั้งหมดนี้ในอาหารของเรา?
Nicola Graham ผู้คลั่งไคล้การออกกำลังกายที่ประกาศตัวเองว่ามีความมุ่งมั่นในการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง หญิงสาววัย 38 ปีจากลอนดอนกล่าวว่าเธอสังเกตเห็นการฟื้นตัวจากการออกกำลังกายได้เร็วขึ้นเมื่อเธอกินอาหารเสริมโปรตีนบวกกับความอยากอาหารลดลง
“ปีนี้ฉันกำลังวิ่งลอนดอนมาราธอนและปั่นจักรยานไปตามชายฝั่งของไอร์แลนด์ การได้รับโปรตีน 120 กรัมต่อวัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการออกกำลังกายมากเกินไปสามารถทำได้จริงผ่านอาหารเสริมโปรตีนเท่านั้น”
Ms Graham ใช้คำว่า “แนบเนียน” ที่นั่น แต่จริงๆ แล้วเธออาจจะแนะนำว่าอร่อยหรือสะดวกสำหรับเธอ เพราะเพื่อให้ได้โปรตีน 120 กรัม คุณจะต้องกินไข่ไก่ขนาดใหญ่ 17 ฟอง หรือเนื้อวัวไม่ติดมัน 500 กรัม
และเธอเสริมว่าการเปลี่ยนอาหารของเธอนั้นไม่ใช่เรื่องยาก โดยเธอประสบกับอาการ “ท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรง” ระหว่างทาง
“ตอนนี้ฉันมองหาวัตถุดิบคุณภาพดี”
เธอกล่าว “มีขยะมากมายในท้องตลาด เติมน้ำตาลและสารเติมเต็มเข้าไป ทำให้อาหารเสริมที่ดีเสียชื่อ”
คุณเกรแฮมไม่ได้อยู่คนเดียวในการเพิ่มโปรตีนในอาหารของเธอ ตลาดโลกสำหรับโปรตีนบาร์เพียงอย่างเดียวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7 พันล้านดอลลาร์ (5.2 พันล้านปอนด์) ภายในปี 2570 เพิ่มขึ้นจาก 4.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 ตามรายงานฉบับหนึ่ง
ถึงกระนั้น พวกเราส่วนใหญ่ที่ไม่ได้สร้างกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายไม่รู้จบกลับต้องการโปรตีนมากกว่าที่เราบริโภคจากอาหารปกติ เช่น ไก่ ปลา หรือไข่?
มูลนิธิโภชนาการแห่งอังกฤษ (BNF) ไม่คิดเช่นนั้น มีการกล่าวว่าการบริโภคโปรตีนโดยเฉลี่ยต่อวันในสหราชอาณาจักรนั้นสูงกว่าระดับที่แนะนำสำหรับทุกกลุ่มอายุ
ในขณะเดียวกัน ในสหรัฐอเมริกา มีรายงานว่าการบริโภคโปรตีนโดยเฉลี่ยเป็นสองเท่าของปริมาณที่แนะนำ
Bridget Benelam นักโภชนาการของ BNF
กล่าวว่าแม้ว่าโปรตีนจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่สมดุล และเธอเตือนว่าสำหรับบางคน อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพหากพวกเขากินมากเกินไป
“โปรตีนมีความสำคัญอย่างยิ่ง – สำหรับอวัยวะต่างๆ เช่น สมองและหัวใจ แอนติบอดีในระบบภูมิคุ้มกันของเรา ฮีโมโกลบินที่นำออกซิเจนในเลือดของเรา และทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง” เธอกล่าว
“ปัญหาคือเมื่อการบริโภคโปรตีนสูงรบกวนสมดุลของอาหารโดยรวม สิ่งสำคัญคือต้องบริโภคอาหารที่หลากหลายจากแต่ละกลุ่มอาหารหลักเพื่อให้สารอาหารทั้งหมดที่เราต้องการเพื่อสุขภาพที่ดี“และมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากอาหารที่มีโปรตีนสูงมาก แม้ว่าความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการบริโภคโปรตีนสูงดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่อาจเป็นความกังวลเกี่ยวกับโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคไต”
คำแนะนำอย่างเป็นทางการจาก NHS ยังเตือนไม่ให้บริโภคโปรตีนมากเกินไป โดยกล่าวว่านอกจากจะทำให้ปัญหาไตที่มีอยู่แย่ลงแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นภาวะสุขภาพที่ทำให้กระดูกอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตาม การศึกษาอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีโปรตีนจากพืชเป็นหลัก อาจลดอัตราการเสียชีวิตได้
Erin Moroney กล่าวว่ายอดขายแบรนด์บิสกิตวีแก้นและโปรตีนของเธอ Nibble เพิ่มขึ้นสี่เท่าในปี 2020 เนื่องจากโรคระบาดทำให้ผู้คนหันมาสนใจการกินและใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพมากขึ้น
เธอบอกว่าเธอคิดผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นมาในปี 2560 หลังจากพบว่าเธอกินโปรตีนไม่เพียงพอ
“ฉันอยู่ในภารกิจที่จะผ่านเข้ารอบบอสตันมาราธอน” ชายวัย 48 ปีกล่าว “ฉันพบว่าฉันได้รับโปรตีนไม่เพียงพอสำหรับระดับกิจกรรมของฉัน
“ในความเป็นจริง ฉันไม่ได้รับขั้นต่ำที่จำเป็นหากฉันไม่ได้ฝึกฝนเลย”
หลังจากเพิ่มการบริโภคโปรตีน เธอบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนเป็นคนใหม่ “พลังของฉันกลับมาแล้ว”
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าโปรตีนอาจมีประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก
เนื่องจากสามารถทำให้คุณรู้สึกอิ่มนานกว่าคาร์โบไฮเดรต
Liz Boote จาก Cheshire เป็นบุคคลหนึ่งที่ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมโปรตีนเพื่อพยายามลดน้ำหนัก ในกรณีของเธอ เธอได้ลองเชคที่ทำจากหางนมวัว
“เรามีลูกสามคน และฉันพบว่ามันยากที่จะลดน้ำหนักหลังตั้งครรภ์ ดังนั้นฉันจึงลองใช้เวย์เชค” เธอกล่าว “แต่พวกมันเต็มไปด้วยน้ำตาล สารให้ความหวานเทียม กัม และสารเติมเต็ม
“ฉันกังวลว่าพวกเขาอาจช่วยฉันลดน้ำหนักได้ – แต่สุขภาพของฉันจะเป็นอย่างไร”
ประเด็นนี้ช่วยให้คุณ Boote สังเกตเห็นช่องว่างในตลาดสำหรับโปรตีนเชคประเภทต่างๆ ดังนั้นในปี 2020 เธอจึงเปิดตัว Protein Rebel ซึ่งทำจากโปรตีนจากพืชและแมลง (จิ้งหรีด)
“มีการตระหนักมากขึ้นถึงความสำคัญของอาหารจากพืชและส่วนผสมที่ ‘สะอาดกว่า'” Ms Boote กล่าว “จิ้งหรีดต้องการที่ดิน น้ำ และอาหารสัตว์น้อยกว่าวัวที่ใช้ผลิตเวย์มาก และผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า”
Lee Chambers วัย 36 ปีจาก Lancashire ยังได้ทานอาหารเสริมโปรตีนเพื่อช่วยให้เขาลดน้ำหนัก เขาบอกว่าพวกเขาช่วยให้เขาสูญเสียหินเกือบห้าก้อนใน 18 เดือน
แต่เขาเตือนว่าสำหรับบางคนอาหารเสริมโปรตีนกลายเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขากิน “ฉันเคยเห็นคนอื่นว่ามันกลายเป็นอาหารหลักของพวกเขาได้อย่างไร แทนที่จะเป็นอาหารเสริมที่ตั้งใจให้เป็น” เขากล่าวเสริม
งานวิจัยชิ้นหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเตือนว่าอาหารเสริมโปรตีน
อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบความผิดปกติในการรับประทานอาหารในผู้ชาย
คุณเบเนแลมกล่าวว่าหากบุคคลต้องการเพิ่มการบริโภคโปรตีน โปรตีนที่มาจากธรรมชาติจะดีที่สุด เนื่องจากโปรตีนเหล่านี้ให้ประโยชน์ทางโภชนาการเพิ่มเติม
“อาหารที่ให้โปรตีนมักเป็นแหล่งของสารอาหารอื่นๆ เช่น โอเมก้า 3 และไอโอดีนจากปลา แคลเซียมและไรโบฟลาวินจากผลิตภัณฑ์นม ธาตุเหล็กและสังกะสีจากเนื้อสัตว์ และไทอามีน โฟเลตและไฟเบอร์จากถั่ว” เธอกล่าว “และพวกเราส่วนใหญ่ได้รับเพียงพอจากอาหารของเราแล้วและไม่ต้องการอาหารเสริมโปรตีน”
ปัจจุบันผู้คนหลายล้านคนกำลังรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีน เนื่องจากตลาดยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่เกรแฮมเตรียมตัวสำหรับการวิ่งครั้งต่อไป เธอกล่าวว่า “โดยส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่าโปรตีนเชคคุณภาพดีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระต่ายออกกำลังกายทุกตัว”
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา
เด็ก 4 คน รอดตายปาฏิหาริย์จากเหตุเครื่องบินตกในป่าแอมะซอน
นิวคาสเซิ่ล จบท็อปโฟร์หลังเสมอกับเลสเตอร์
Casper Ruud ยังคงดำเนินต่อไปด้วยการออกจาก Madrid Open
ภายใต้คำแนะนำของโค้ช ผู้เล่นได้รับคำสั่งให้ ‘นั่งลง’
หนังสัตว์ ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้
Lee Hae-in คว้าแชมป์ Tokyo Metropolitan Gymnasium
ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com
แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business
สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ garrisonsatlanta.com